หัวข้อบทความ
4 ความต่างระหว่าง BlackJack กับ Poker
( 4 ความต่างระหว่าง BlackJack กับ Poker ) ในวงการนักพนันเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าเกมพนันที่มีมากหน้าหลายตาทุกวันนี้มันถูกพัฒนามาจากต้นกำเนิดแค่ไม่กี่อย่าง หากจะแยกตามอุปกรณ์ ก็จะมี ไพ่ ลูกเต๋า วงล้อ ทายเลข และพวกทายผลกีฬา โดยเฉพาะไพ่มีหลายคนที่ค่อนข้างเข้าใจผิดหรือจำสับสน เอากติกาหรือวิธีเล่นไปปนมั่วกันหมด ยิ่ง BlackJack กับ Poker หากไม่ใช่การเล่นบน คาสิโนออนไลน์ แค่เข้าใจผิดผมว่ามีวุ่นวายกันแน่นอน
คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านต่อ เล่น BlackJack Online ปลอดภัยจริงหรือ
แม้ว่า BlackJack กับ Poker จะใช้ไพ่แค่ 1 สำรับ กับผู้เล่นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป แถมยังมีการเรียกไพ่ชุดต่าง ๆ ที่คล้ายกันอีก อย่าง Straight, Flush, Straight Flush เวลาเล่นก็ยังสามารถเลือกได้อีกว่าจะเล่นหรือไม่เล่นก็ได้ มีการหมอบไพ่เหมือนกัน แต่รู้หรือไม่ว่าในความคล้ายกันตรงนี้มันมีอะไรที่แตกต่างกันมาก ว่าแล้วไปดูกันครับว่า แบล็คแจ็ค กับ โป๊กเกอร์ นั้นต่างกันตรงไหนบ้าง
อุปกรณ์การเล่น
หากเป็นการเล่นทั่ว ๆ ไปแบบไม่ใช่ไปเล่นตามบ่อนหรือคาสิโน ทั้งสองเกมนี้จะใช้ไพ่เพียงแค่ 1 สำรับเท่านั้น แต่ถ้าเป็น คาสิโนออนไลน์ เกม แบล็คแจ็ค จะเพิ่มไพ่ที่ใช้ในการเล่นเป็น 4 สำรับ สำหรับการเล่นแบบอเมริกัน หรือ 6 สำรับ ในรูปแบบการเล่นสไตล์ยุโรป ขณะที่โป๊กเกอร์นั้นยังใช้ไพ่ 1 สำรับเหมือนเดิม
รูปแบบการเล่นและวิธีเล่น
การเล่นโป๊กเกอร์จะมี 2 แบบ ก็คือ Cash Game กับ Tournament ทั้งสองแบบจะแตกต่างกันที่ Cash Game จะจบการเล่นและจ่ายเงินรางวัลให้กับผู้ชนะเพียงคนเดียวในโต๊ะนั้น ส่วน Tournament ผู้เล่นจะได้รับรางวัลก็ต่อเมื่อเป็นผู้ชนะของรายการ คือจะต้องเอาชนะในแต่ละโต๊ะให้ได้เพื่อเข้ารอบต่อไปเรื่อย ๆ
ส่วนวิธีเล่นโป๊กเกอร์ใน 1 เกมจะแบ่งออกเป็น 5 รอบ คือ Pre-Flop, Flop, Turn, River และ Show Down ผู้เล่นแต่ละคนจะต้องจัดไพ่ในมือให้เข้ากับไพ่กองกลางเพื่อให้ได้ชุดไพ่หรือมือที่ดีที่สุด การวัดผลแพ้ชนะจะเป็นการวัดกันระหว่างผู้เล่น และในแต่ละรอบผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะหมอบ, เพิ่มเดิมพัน, อยู่เฉย ๆ หรือจะวางเดิมพันตามผู้อื่น
แต่ แบล็คแจ็ค จะแตกต่างออกไปคือไม่ว่าจะมีผู้เล่นกี่คนก็ตาม จะเป็นการแข่งกันระหว่างผู้เล่นกับเจ้ามือ โดยผู้เล่นจะต้องพยายามทำแต้มรวมของไพ่ในมือให้ได้มากกว่าเจ้ามือและต้องไม่เกิน 21 แต้ม ส่วนเจ้ามือเองก็ต้องทำแต้มให้ได้ระหว่าง 17-21 แต้ม จากนั้นค่อยมาวัดผลกับผู้เล่นทีละคน ใครชนะก็ได้เงินไป ใครแพ้ก็เสียเงิน
ในกรณีที่ผู้เล่นต้องการเลิกเล่นระหว่างเกม โป๊กเกอร์ จะสามารถเลิกเล่นในรอบไหนก็ได้เพียงแค่หมอบไพ่ก็พอ แต่ถ้าเป็น BlackJack จะหมอบได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในช่วงไพ่สองใบเท่านั้น หากมีการจั่วเพิ่มก็ต้องอยู่ต่อจนกว่าจะถึงรอบวัดไพ่
การนับแต้มไพ่
สำหรับ แบล็คแจ็ค จะนับแต้มไพ่จากหน้าไพ่เท่านั้น โดยที่ดอกไพ่จะไม่ส่งผลถึงขนาดไพ่ ดังนี้
- ไพ่ A มีค่าเป็น 1 แต้ม เมื่ออยู่กับไพ่ 2-9 แต่จะมีค่าเป็น 11 แต้ม เมื่ออยู่กับไพ่ 10, J, Q หรือ K
- ไพ่ 2-9 มีค่าตามหมายเลขหน้าไพ่
- ไพ่ 10, J, Q และ K มีค่าเป็น 10 แต้ม
ส่วน โป๊กเกอร์ ดอกไพ่จะมีผลต่อขนาดไพ่ โดยเรียงจากใหญ่ไปหาเล็ก คือ โพธิ์ดำ > หัวใจ > ข้าวหลามตัด > ดอกจิก ในกรณีที่มีแต้มเท่ากัน จะดูที่ดอกไพ่ว่าใครใหญ่กว่ากัน สำหรับแต้มไพ่มีวิธีการนับดังนี้
- ไพ่ A จะมีค่าน้อยที่สุดเมื่ออยู่กับชุดไพ่ 2-9 แต่จะมีค่ามากสุดเมื่ออยู่กับชุดไพ่ 10, J, Q, K
- ไพ่ K มีค่าน้อยกว่า A
- ไพ่ Q มีค่าน้อยกว่า K
- ไพ่ J มีค่าน้อยกว่า Q
- ไพ่ 10-2 มีค่าน้อยกว่า J เรียงตามลำดับตัวเลขจากมากไปหาน้อย
ตรงนี้จะเห็นว่าไพ่ A, 2-9 ของไพ่ทั้งสองแบบจะมีค่าเหมือนกัน แต่ 10, J, Q, K ของโป๊กเกอร์จะมีค่าไม่เท่ากัน ขณะที่ BlackJack ให้ค่าเท่ากันทุกใบคือ 10 แต้ม
การวัดผลแพ้ชนะและอัตราจ่าย
วิธีวัดผลแพ้ชนะใน โป๊กเกอร์ จะใช้ชุดไพ่ซึ่งเรียงจากคะแนนมากที่สุดไปหาน้อยสุดดังนี้ Royal Flush > Straight Flush > Four of kind > Full House > Flush > Straight > Three of kind > Two pair > One pair > High card และในกรณีแต้มไพ่เท่ากัน หรือมีชุดไพ่เดียวกันจะใช้ดอกไพ่ และไพ่ที่เหลือเป็นตัว Kicker อีกที แม้ว่าในระดับทัวร์นาเมนท์จะมีผู้ชนะได้มากกว่าหนึ่งคน แต่เป็นการชนะแบบลำดับ 1, 2, 3 ดังนั้น โป๊กเกอร์ จึงยากที่จะเป็นเกมจบด้วยผลเสมอกัน ส่วนอัตราจ่ายคือเงินรางวัลทั้งหมดที่อยู่ใน Pot หรือเงินกองกลางที่ทุกคนวางเดิมพันไปนั่นเอง
แต่ แบล็คแจ็ค ที่เล่นกันใน คาสิโนออนไลน์ มีโอกาสเป็นไปได้มากที่ผลจะออกมาเสมอ เพราะใช้ไพ่มากกว่า 1 สำรับ และดอกไพ่ก็ไม่มีผลต่อการวัดผล แล้วในการแข่งก็เป็นการสู้กันระหว่างเจ้ามือกับผู้เล่น ซึ่งสามารถเอาชนะได้หลายรูปแบบดังนี้
- ชนะด้วย BlackJack (ไพ่สองใบที่รวมกันได้ 21 แต้ม) อัตราจ่าย 3 : 2 หรือ 6 : 5 แล้วแต่โต๊ะ
- ชนะด้วยแต้มรวมที่มากกว่า และต้องไม่เกิน 21 แต้ม อัตราจ่าย 3 : 2 หรือ 6 : 5 แล้วแต่โต๊ะ
- ชนะด้วยไพ่คู่ ได้แก่ ไพ่คู่เหมือน อัตราจ่าย 25 : 1, ไพ่คู่สี อัตราจ่าย 12 : 1 และ ไพ่คู่ผสม อัตราจ่าย 6 : 1
- ชนะด้วยไพ่สามใบ โดยใช้ไพ่เรา 2 ใบกับไพ่หงายของเจ้ามือ 1 ใบ ได้แก่ ไพ่ตองเหมือน อัตราจ่าย 200 : 1, ไพ่เรียงสี อัตราจ่าย 100 : 1 และ ไพ่แต้มรวม 21 แต้ม อัตราจ่าย 15 : 1
- ชนะด้วยไพ่สามใบของเราฝ่ายเดียว ได้แก่ ตองเหมือน อัตราจ่าย 100 : 1, Straight Flush อัตราจ่าย 40 : 1, ตอง อัตราจ่าย 30 : 1, Straight อัตราจ่าย 10 : 1 และ Flush อัตราจ่าย 5 : 1
- ชนะด้วย Bet Behind หรือการวางเดิมพันตามผู้อื่น
คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านต่อ BlackJack กับ Poker เล่นอันไหนดีกว่ากัน
Last Updated on 11 months by admin11