วิธีเล่น BlackJack ให้ชนะ พร้อมอัตราจ่ายที่ต้องรู้
( วิธีเล่น BlackJack ให้ชนะ พร้อมอัตราจ่ายที่ต้องรู้ ) นอกจากไพ่บาคาร่า แบล็คแจ็ค ถือได้ว่าเป็นเกมไพ่ที่นิยมเล่นกันมากเป็นอันดับต้น ๆ บน คาสิโนออนไลน์ ทั่วโลก โดยเฉพาะในแถบฝั่งยุโรป สำหรับในบ้านเราก็อาจจะมีคาสิโนบ้างเจ้าที่ซื้อแบรนด์ยุโรปมาให้บริการ และแน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็จะมี BlackJack มาให้เราเล่นด้วย แต่ก่อนที่จะไปเล่นเราไปดูกันดีกว่าว่าไพ่นี้มีวิธีเล่นอย่างไร แล้วอัตราจ่ายมากน้อยแค่ไหน จะได้เตรียมตัวไว้ก่อนเล่น
สิ่งสำคัญสำหรับการเล่นไพ่แบล็คแจ็ค ที่ต้องเรียนรู้และห้ามมองข้ามเด็ดขาดก่อนไปเล่นจริงคือ กฏกติกาการเล่นไพ่ BlackJack และเทคนิคพื้นฐานสำหรับผู้เริ่มต้น
กติกาพื้นฐานในการเล่น BlackJack
ปกติแล้วหากเป็นการเล่นตามบ้านหรือบ่อนทั่วไปแค่ไพ่ 1 สำรับก็เพียงพอแล้ว แต่ใน คาสิโนออนไลน์ ส่วนใหญ่มักจะใช้ไพ่ 6 สำรับ ที่สับเปลี่ยนตำแหน่งแล้วใส่ไว้ในขอนไพ่เช่นเดียวกับบาคาร่า จากนั้นก็จะมีการแจกไพ่ให้กับผู้เล่นทุกคน คนละสองใบ จากนั้นแต่ละคนก็จะสามารถจั่วไพ่ได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะได้แต้มใกล้เคียงหรือเท่ากับ 21 แต้ม สิ่งที่ต้องจำไว้คือเกมนี้เราจะไม่สามารถทิ้งไพ่หรือเลือกไพ่มาสู้ได้ เท่ากับว่าหากจั่วมาแล้วแต้มเกิน 21 แต้ม เราก็จะแพ้ทันที
สำหรับการนับแต้มไพ่ แบล็คแจ็ค จะมีวิธีการนับดังนี้
- ไพ่ A มีค่าเท่ากับ 1 แต้ม แต่ถ้าอยู่คู่กับไพ่ 10, J, Q หรือ K จะมีค่าเป็น 11 แต้มทันที
- ไพ่ 2 – 9 มีค่าเท่ากับหมายเลขหน้าไพ่ เช่น หน้าไพ่ 2 ก็จะมีค่าเท่ากับ 2 แต้ม เป็นต้น
- ไพ่ J, Q และ K มีค่าเท่ากับ 10 แต้ม
ส่วนดอกไพ่จะไม่มีผลในการวัดแต้มไพ่ และจะไม่มีการใช้ Kicker กรณีที่แต้มไพ่เท่ากัน ดังนั้นผลที่ได้ก็จะมี ชนะ เสมอ และแพ้ หลังจากที่ได้รับแจกไพ่แล้ว ผู้เล่นแต่ละคนและเจ้ามือจะต้องเลือกเล่นด้วยตัวเลือกต่อไปนี้
- Hit เป็นการจั่วไพ่เพิ่มอีกหนึ่งใบ หากแต้มไพ่รวมแล้วน้อยกว่า 21 แต้ม โดยผู้เล่นจะสามารถจั่วได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะพอใจ ส่วนเจ้ามือจะต้องจั่วเพิ่มเรื่อย ๆ หากแต้มรวมของไพ่สองใบแรกน้อยกว่าหรือเท่ากับ 16 แต้ม และจะไม่สามารถจั่วได้หากแต้มรวมของไพ่สองใบแรกมากกว่าหรือเท่ากับ 17 แต้ม
- Split เป็นการแยกไพ่ออกเป็นสองชุด จะใช้ในกรณีที่ไพ่สองใบแรกออกเป็นไพ่คู่ AA หรือ 88 เท่านั้น และผู้ที่แยกไพ่จะต้องวางเดิมพันเพิ่มอีกหนึ่งขา หลังจากที่แยกไพ่แล้วหากเป็นไพ่คู่ AA จะสามารถจั่วเพิ่มได้อีกขาละ 1 ใบ แล้วถ้าได้ไพ่ 10, J, Q หรือว่า K จะถือว่าเป็นการติด 21 แต้มธรรมดาเท่านั้น ไม่นับเป็น แบล็คแจ็ค แต่ถ้าเป็นไพ่คู่ 88 จะสามารถจั่วได้ไม่จำกัด
- Double Down เป็นการเพิ่มเดิมพันอีกหนึ่งเท่าตัว ซึ่งจะต้องทำในช่วงไพ่สองใบแรกและจะต้องไม่ใช่คู่ แบล็คแจ็ค เท่านั้น และหลังจากเพิ่มเดิมพันก็จะสามารถจั่วไพ่ได้แค่ใบเดียว
- Surrender เป็นการยอมแพ้ซึ่งจะต้องทำในช่วงไพ่สองใบแรกเท่านั้น โดยผู้เล่นจะได้รับเงินเดิมพันคืนกลับไปครึ่งหนึ่ง
- Insurance เป็นการทำประกันเดิมพัน จะทำเมื่อไพ่ใบแรกของเจ้ามือเป็น A เจ้ามือจะเปิดโอกาสให้ขาบนโต๊ะสามารถทำประกันก่อนที่จะเปิดไพ่ใบที่สองได้ โดยเบี้ยประกันจะต้องจ่ายเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของเงินเดิมพัน หลังจากนั้นถ้าเจ้ามือติด แบล็คแจ็ค ผู้เล่นที่ทำประกันจะได้รับเงินประกันและเงินเดิมพันคืน แต่ถ้าไม่ติด BlackJack เงินประกันจะเสียเปล่าทันที
- เก็บไพ่ หากผู้เล่นติด แบล็คแจ็ค แล้วไพ่ใบแรกของเจ้ามือออก A ผู้เล่นสามารถเลือกเก็บไพ่ก่อน เพื่อลดความเสี่ยงในการเสมอกับเจ้ามือ
การชนะด้วย 21+3, Perfect Pair และ Bet Behind
นอกจากการเอาชนะด้วย แบล็คแจ็ค แล้ว (ได้ไพ่คู่ A10, AJ, AQ หรือ AK) และการชนะด้วยแต้มที่มากกว่าเจ้ามือและไม่เกิน 21 แต้ม ยังมีการชนะด้วยรูปแบบอื่น ๆ อีก 3 รูปแบบคือ
แบบ 21+3
เป็นรูปแบบการเอาชนะด้วยไพ่ 3 ใบ โดยไพ่ในมือจะต้องออกชุด ตองเหมือน, ตอง, Straight Flush, Straight และ Flush ซึ่งไพ่แต่ละชุดจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปรวมถึงอัตราจ่ายเรียงจากมือใหญ่ไปเล็กดังนี้
- ตองเหมือน หมายถึงไพ่สามใบที่มีแต้มเดียวกันและดอกเดียวกัน (มีเฉพาะในเกมที่ใช้ไพ่ 6 สำรับ) อัตราจ่ายคือ 100 : 1
- Straight Flush หมายถึง ไพ่สามใบที่มีแต้มเรียงกันและมีดอกเดียวกัน อัตราจ่ายคือ 40 : 1
- ตอง หมายถึง ไพ่สามใบที่มีแต้มเดียวกัน แต่ไม่จำเป็นต้องมีดอกเดียวกัน อัตราจ่ายอยู่ที่ 30 : 1
- Straight หมายถึง ไพ่ที่มีแต้มเรียงกันสามใบ ไม่จำเป็นต้องมีดอกเดียวกัน อัตราจ่ายคือ 10 : 1
- Flush หมายถึง ไพ่สามใบที่มีดอกเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีแต้มเรียงกันก็ได้ อัตราจ่ายอยู่ที่ 5 : 1
แบบ Perfect Pair
จะเป็นการเอาชนะกันด้วยไพ่สองใบแรกเช่นเดียวกับการติด แบล็คแจ็ค โดยเงื่อนไขก็คือไพ่ที่ได้รับต้องเป็นไพ่คู่เท่านั้น โดยแต่ละคู่จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปคือ
- คู่เหมือน หมายถึงไพ่คู่ที่มีดอกเดียวกัน อัตราจ่ายคือ 25 : 1
- คู่สี หมายถึง ไพ่คู่ที่มีดอกสีเดียวกันจะเป็นคนละดอกหรือดอกเดียวกันก็ได้ เช่น โพธิ์ดำ คู่ ดอกจิก (สีดำ) หรือ หัวใจ คู่ ข้าวหลามตัด (สีแดง) อัตราจ่ายคือ 12 : 1
- คู่ผสม หมายถึง ไพ่คู่ที่มีแต้มเดียวกัน แต่ดอกและสีต่างกัน เช่น โพธิ์ดำ คู่ หัวใจ หรือ ข้าวหลามตัด เป็นต้น อัตราจ่ายคือ 6 : 1
สาเหตุที่ทำให้มีโอกาสติด Perfect Pair ได้หลายคู่ เนื่องจากการเล่น แบล็คแจ็ค ใน คาสิโนออนไลน์ จะใช้ไพ่ตั้งแต่ 6 สำรับขึ้นไปในการเล่นครับ
แบบ Bet Behind
การเอาชนะด้วยรูปแบบนี้จะเป็นการวางเดิมพันตามผู้เล่นคนอื่น จะแพ้หรือชนะขึ้นอยู่กับไพ่ของคนอื่น เรามีหน้าที่แค่วางเดิมพันเท่านั้น และส่วนมากมักจะทำก็ต่อเมื่อเราแพ้ไปก่อนแล้วนั่นเอง
ถึงกติกาการเล่นไพ่แบล็คแจ็คจะไม่ยุ่งยากซ้ำซ้อน แต่ยังมีเรื่องของคำศัพท์ต้องรู้และวิธีดูแต้มไพ่ BlackJack ซึ่งถ้าไม่รู้รับรองได้เลยว่าแพ้แน่นอน
Last Updated on 11 months by admin11